วลีเด็ดเก็บตกชายขอบเวทีเสวนา “ชีวิตและผลงานของผู้หญิงธรรมศาสตร์ในรอบ 80 ปี”


“........ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง             ฉันจึง มาหา ความหมาย

ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย      สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียวฯ ......”

 

“ลูกแม่โดม” สายเลือด เหลือง-แดง ต้องรู้จักว่าเป็นวรรคทองของกวีเพลงเถื่อนแห่งสถาบัน[1] ของที่นักศึกษาปี 3 คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์  “วิทยากร เชียงกูล”   รังสรรค์ขึ้นตั้งแต่ปี 2511 อันเป็นจุดเชื่อมแนวคิดทางการเมืองอย่างโดนใจของกลุ่มนักศึกษาของ 14 ตุลาฯ 2516  และยังเป็นแรงกระตุ้นปลุกเร้าให้หลายคนอยากเข้าเรียนในสถาบันแห่งนี้ รวมทั้งการตามหาตัวตนของตัวเอง!!!!!!!!

การทำงานที่มุ่งหาคำตอบอยู่ที่หมู่บ้าน ทำให้ผมไม่ได้กลับไปที่สถาบันที่เคยศึกษาอยู่เลย จนกระทั่งมีเพื่อนๆ ส่งข่าวว่าวันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะมีการเสวนาเกี่ยวกับการทำงานการเมืองของผู้หญิง น่าสนใจแหะ!

       

ได้มีโอกาสเข้าร่วมฟังการเสวนา  ซึ่งเป็นโครงการสตรีและเยาวชนศึกษา ในเรื่องชีวิตและผลงานของผู้หญิงธรรมศาสตร์ในรอบ 80 ปี โดยผู้จัดทำโครงการได้ทำงานวิจัยในเรื่องนี้ด้วย โดยคัดเลือก ศิษย์เก่าเพศหญิงที่ทำงานเกี่ยวกับการเมืองประมาณ 11 ท่าน แต่มาในวันนี้ 2 ท่าน คืออาจารย์สุนี ไชยรส ซึ่งท่านเป็นแนวหน้าในการทำงานเกี่ยวกับการเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพของผู้หญิงและคุณรสนา โตสิตระกูล เป็นแกนนำและตรวจสอบการทำงานของนักการเมืองให้เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2540

ถ้าเป็นอย่างงี้......เรามาลองฟังที่ทั้งสองท่านมาแชร์ประสบการณ์ให้เราฟังกันดีกว่า ...........

อาจารย์สุนี ไชยรส ผอ.ศูนย์ส่งเสริมความเสมอภาคและความเป็นธรรม วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ความสำเร็จ  ของ 14 ตุลาฯ 2516 อยู่ที่การถือปรัชญาการต่อสู้ เคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาชน แบบ 3 ประสาน คือ นักศึกษาปัญญาชน กรรมกร และชาวนา  และอีกวิถีหนึ่งที่ต้องไปร่วมชะตากรรม คือ ทุกคนพร้อมที่จะไปติดคุก ทำให้ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ ซึ่งจากสถานการณ์เผด็จการทำเกิดแรงขับเคลื่อนพลังต่อสู้!!!!  และเปิดประเด็นการต่อสู้ของภาคประชาชน

แต่หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 ก็มีความครุกรุ่นต่อเนื่องมาถึง 16 ตุลาฯ 2519 ทางการปราบนักศึกษาเสียชีวิตราว 200 คน  เมื่อเหตุการณ์เริ่มสงบ ตามคำสั่ง 66/2523 ตนกลับเข้าสู่เมืองแต่ไม่ได้ไปรายงานตัว จึงถูกจับ ก็ยังถูกกลั่นแกล้งอีก โดยใช้คดีเดิมที่ศาลเคยยกฟ้อง (กรณีกรรมกรอ้อมน้อย) ช่วงนั้นมีลูกน้อยต้องนำลูกเข้าไปเลี้ยงในคุก และทำให้มีข้อต่อรองในการไม่ต้องตรวจภายในก่อนที่จะเดินเข้าไปในคุก แต่การต่อสู้อยู่ในสายเลือด จึงถือว่า "เพราะชีวิตยังอยู่ จึงต้องสู้ต่อไป"

อาจารย์สุนี ท่านได้นำประสบการณ์มาเล่าให้รวมทั้งการสะท้อนให้เห็นบทบาทของกระบวนยุติธรรมของทัณฑ์สถานหญิงที่ล่วงละเมิดทางเพศ โดยอ้างว่า กลัวลักลอบนำยาเสพติดเข้าไปในคุก!!!  โอ้อนิจจา! แม่เจ้า!! ผมคิดว่า มีหลายวิธีที่จะสามารถตรวจสอบได้ก่อนเข้าคุก มันน่าสังเวชใจยิ่งนัก เมื่อรู้ถึงกระบวนการนี้  และเมื่อได้เข้าเป็นตัวแทน สสร. ฉบับปี 2540 ใช้  "หลักการของประชาธิปไตย ควรจะต้องยืนบนพื้นฐานแห่ง ความเสมอภาค ต้องมีการกระจายอำนาจให้ทั่วถึง"  เหมือนกับชายหญิงที่ร่วมกันต่อสู้เมื่อ 14 ตุลาฯ ที่มีสัญลักษณ์อยู่บนแผ่นกระดาษและแผ่นป้ายประชาสัมพันธ์อยู่เสมอ

ท่านคือนักต่อสู้เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง  ซึ่งอาจารย์สุนี ได้ตามหาความหมายของตนเองได้อย่างชัดเจน เมื่ออยู่ในรั้วและนอกรั้วของยูงทอง

อีกท่านหนึ่งที่ยังเป็นนักต่อสู้หญิงอีกท่านหนึ่งในเวทีนี้ คือ ....คุณรสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กทม.ในฐานะกรรมการมูลนิธิสุขภาพไทย กล่าวว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คือ มหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝันอยากที่จะเข้าเรียน เพราะว่า สภาพสังคมในสมัยนั้น หล่อหลอมให้เราฝันอยากเป็นนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ เพราะเห็นพลังที่ ม.ธรรมศาสตร์ สร้างให้สังคม ซึ่งเป็นอีก 1 ท่าน ที่ตามหาความหมายให้กับตนเอง จนมาสะดุดปรัชญาของ ท่านพุทธธาส "ตัวกูของกู" จึงนำมาซึ่งการเข้าสู่ชมรม "พุทธศาสนและประเพณี" จากนั้นก็ได้รู้จัก อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ศ.สิวลักษณ์ และได้ศึกษาด้านพุทธศาสนาเรื่อยๆ และทั้งนี้ยังได้แปลหนังสือของ มหาตมะคานธี กะมาสะดุด ซึ่งพบประเด็นสำคัญ 2 ข้อ คือ 1.หล่อเลี้ยงกาย (สัมมาอาชีวะ) และ 2.การขัดเกลาหล่อเลี้ยงภายใน  และตกกระไดพลอยโจนได้เป็น Accident Heroine  เรื่อง ทุจริตยา อันที่จริงเรื่องทุจริตยา ที่ต้องมาออกหน้าเหมือนตกกระไดพลอยโจน เพราะการแถลงข่าวในครั้งแรกต้องเป็นพี่อีกคน แต่เขาไปผิดที่นัดหมาย  ในการทำงานต้องบอกว่า การขับเคลื่อนภาคประชาชน ส่วนหนึ่งในตัวตน ถือว่าได้รับการหล่อหลอมมาจากความเป็นธรรมศาสตร์ในสายเลือด และยังจะต่อสู่เคียงข้างประชาชนต่อไป ตราบที่ยังมีแรง โดยในการทำงานที่สำเร็จก็ใช้หลักการ 3 ประสานที่ครบวงจึงสำเร็จได้ ประกอบด้วย ข้อมูลอินไซด์เดอร์จากหมอ รวมถึงการเคลื่อนไหวของภาคพลเมือง และสื่อ มีปรัชญาในการขับเคลื่อนคือ “ใช้มรรควิธีในการทำงาน” หมายถึง การดำเนินการจะต้องอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องจึงจะสำเร็จ ซึ่งแนวคิดนี้ได้จาก ลุงฟุ (ฟุกูโอกะคิด)  และมีเป้าหมายให้กับประชาชน คือ กินอิ่ม นอนอุ่น

โอ๊ว......สุดยอดนักต่อสู้ การทำงานของผู้ใหญ่ในรั้วเหลือง-แดง  อาจมองได้ว่า เป็นการสืบสาน การสานต่อ การรับช่วง การส่งไม้ในการทำงานจริง ๆ อีกท่านหนึ่งได้เป็นสสร.ในการออกกฎหมาย และอีกท่านหนึ่งเป็นนักปฏิบัติการ นักตรวจสอบ การใช้กฎหมายอย่างแท้จริง ไม่ใช่ว่า  เป็นตัวอักษรที่งดงามอยู่ในมาตรอย่างเดียว!!!!!!  มันสามารถทำได้ตามนั้นจริงๆ นะท่านนักการเมือง

......ได้ฟังแบบนี้แล้ว การกลับไปรั้วแม่โดมคราวนี้  มันทำให้เลือดเหลือง-แดง สูบฉีดสูงปรี๊ด.......มาก  ไม่เสียเที่ยวจริงๆ  อย่างน้อยก็เป็นอีกหนึ่งที่สรรสร้างกำลังใจให้ผมกลับไปทำงานในชุมชนตามหน้าที่ฟันเฟืองกลไกทางสังคมต่อไปได้อีกครับผม.....

 

โดย ........ไม้เอก.....

 

ที่มา

wikipedia.org

www.gotoknow.org

 




[1] เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน หรือที่นิยมเรียกว่า ฉันจึงมาหาความหมาย เป็นกลอนที่มีชื่อเสียงชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อเขียนหนึ่งในหลายชิ้น ที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษา "หัวก้าวหน้า" ยุคก่อนและหลัง 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ซึ่งต่อมาได้พัฒนาไปสู่การเรียกร้องประชาธิปไตย ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 เนื้อหาของกลอนสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของนักศึกษาคนหนึ่ง ซึ่งตั้งคำถามเชิงเสียดสีเกี่ยวกับปรัชญาการศึกษาในมหาวิทยาลัย

 

ABOUT

'ร้อยพลัง'  ไม่มุ่งหวังให้ทุกความคิด ความรู้ หรือความเห็น จำเป็นต้องเหมือนหรือไปในทิศทางเดียวกันเสมอ หากแต่เรามุ่งหวังว่า แต่ละพื้นที่ความคิดจะสามารถมองเห็นกันและกันจากบริบทที่แตกต่าง เพื่อนำไปสู่การแลกเปลี่ยนที่เป็นไปอย่างสร้างสรรค์บนพื้นฐานของข้อมูลที่รอบด้านและมองหาข้อเท็จจริงร่วมกันได้ 
read more

SUBSCRIBE

Facebook      YouTube