แปลงขยะเป็นปุ๋ยอินทรีย์
วิถีเกษตรแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
ทั่วโลกต่างหยิบยกปัญหาขยะขึ้นมาถกอย่างเป็นจริงเป็นจัง จนกลายเป็นวาระแห่งชาติในหลายประเทศ ขณะที่บ้านเราได้จัดทำเป็นแผนจัดการปัญหาขยะปี 2558-2562[1] สาระสำคัญมีอยู่ 4 เรื่องใหญ่ๆคือ 1.กำจัดขยะที่ตกค้างจากแหล่งกำจัดให้หมดไป 2.สร้างแหล่งกำจัดที่ถูกวิธี 3.ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 4.ปลูกฝังให้เกิดการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง เพื่อสะดวกในการบริหารจัดการขยะ ซึ่งก็ถือเป็นความพยายามหนึ่งที่จะแก้ปัญหาที่มีมาอย่างยาวนานให้คลายลง
ลองมาดูวิธีการจัดการขยะของต่างประเทศ ด้วยการแปลงขยะให้กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์สำหรับพืชผัก ใช้วิถีแห่งเกษตรกรเข้ามามีส่วนในการแก้ปัญหาให้เกิดความยั่งยืน
เมืองคูลนา ประเทศบังกลาเทศ เมืองเล็กๆ ซึ่งมีพื้นที่ 45.65 ตารางกิโลเมตร ประชากรราว 1.5 ล้านคน แต่อัตราการขยายตัวของประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัญหาขยะจึงก่อตัวขึ้นมาติดๆ ในแต่ละวันมีขยะเกิดขึ้นในเมืองสูงถึง 520 ตัน ขยะเกือบทั้งหมดหมดถูกเก็บจากหน้าบ้านและนำไปทิ้งรวมกันโดยไม่มีการคัดแยก
จากปัญหาดังกล่าวทำให้ต้องทบทวนวิธีการจัดการเสียใหม่ เมืองคูลนา จึงริเริ่มทำปุ๋ยหมักจากขยะเหล่านั้น ซึ่งได้รับความร่วมมือจากเทศบาล หน่วยงานราชการ NGOs และ เครือข่ายภาคประชาสังคมทั้งหมดในเมือง
บังกลาเทศ มีกระทรวงการเกษตร (The Ministry of Agricultural - MOA) เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการพัฒนาและบังคับใช้มาตรฐานการทำปุ๋ย รวมไปถึงการลงทะเบียนเพื่อรับใบอนุญาตในการทำและขายปุ๋ยหมัก การจัดการขยะของเมืองคูลนาอาศัยกลไกลนี้เป็นเครื่องมือหนึ่ง ในการแปลงขยะเป็นปุ๋ยอินทรีย์ และใช้ปุ๋ยอินทรีย์กับเครือข่ายเกษตรกรของเมือง
ตารางที่ 1: NGOs ที่เริ่มทำปุ๋ยหมักจากขยะ
NGOs |
จุดเริ่มต้นในการทำปุ๋ยหมักจากขยะ |
RUSTIC |
RUSTIC ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก BEMP/CIDA ในช่วงปี 2002-2003 โดย RUSTIC สามารถทำปุ๋ยหมักได้ 1 ตัน/วัน |
Samadhan |
Samadhan มีโรงผลิตปุ๋ยหมักออแกนิคเป็นของตัวเองภายใต้เงินสนับสนุนจาก Waste Safe/EU ในช่วงปี 2007-2010 แต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว Samadhan ได้หยุดดำเนินการไปเนื่องจากไม่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการเกษตร |
SPS |
SPS มีโรงผลิตปุ๋ยหมักและโรงงานรีไซเคิลขนาดเล็กภายใต้เงินสนับสนุนจาก World Bank ในช่วงปี 2002-2004 |
Prodipan |
Prodipan เริ่มทำปุ๋ยหมักจากขยะจากการสนับสนุนเงินทุนของ World Bank ในช่วงปี 1997-2002 และยังได้รับการสนับสนุนจาก NGOs และ CBOs อื่นๆในช่วงปีเดียวกัน การทำปุ๋ยหมักของ Prodipan ได้รับการตอบสนองอย่างดี แต่ในปัจจุบัน Prodipan ไม่มีผลผลิตและการตลาด |
การใช้ปุ๋ยหมักในโรงเพาะชำต้นไม้
เมืองคูลนา มีโรงเพาะชำ 85 แห่ง มีการสำรวจเรื่องรูปแบบการใช้ปุ๋ยใส่ต้นไม้และความต้องการใช้ปุ๋ยไปแล้ว 15 แห่ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นไม้ประดับ สมุนไพร ผลไม้ ไม้ซุง และต้นไม้อ่อน ปุ๋ยส่วนใหญ่ที่ใช้ในโรงเพาะจะเป็นปุ๋ยเคมี มีเพียงส่วนน้อยที่ทำปุ๋ยออแกนิคใช้เอง (ใช้มูลสัตว์และขยะครัวเรือน เศษอาหาร ในการทำปุ๋ย) ผู้ที่ใช้ปุ๋ยออแกนิคส่วนใหญ่จะทำใช้เองมากกว่าซื้อใช้ ตามรูปด้านล่าง
จากรูปจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่จะทำปุ๋ยเพื่อใช้เองในโรงเพาะ บางโรงเพาะมีบ่อหมักปุ๋ยเป็นของตัวเอง ส่วนโรงเพาะที่ใช้ปุ๋ยหมักจากที่อื่น ก็ยังมีการทำปุ๋ยหมักใช้เองแต่ปริมาณไม่เพียงพอ
แม้การจัดการปัญหาขยะด้วยการแปลงร่างให้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ จะเป็นทางออกที่ดีและได้รับการยอมรับ แต่ระหว่างการดำเนินงานมีอุปสรรค์และปัญหาอยู่บ้าง เช่น
- NGOs ไม่สามารถขอใบอนุญาตการทำปุ๋ยหมักจากกระทรวงการเกษตร ตัวอย่างเช่น Samadhan ต้องปิดตัวลงเนื่องจากไม่สามารถขอใบอนุญาตได้
- ขาดความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีจากภาครัฐ ทำให้ปุ๋ยหมักที่ผลิตออกมาด้อยคุณภาพ ส่งผลให้ชาวนา ชาวสวนที่ทำโรงเพาะต้นไม้ไม่มั่นใจที่จะใช้ปุ๋ยเหล่านั้น และหันไปใช้ปุ๋ยเคมีแทน
- NGOs, โรงเพาะต้นไม้, และการทำฟาร์มที่อยู่ในเมือง พบปัญหาเรื่องไม่มีพื้นที่มากพอที่จะสร้างโรงทำปุ๋ยหมัก
- NGOs, โรงเพาะต้นไม้, และการทำฟาร์มส่วนใหญ่ยังขาดเงินทุนที่จะเริ่มต้นทำ, ดำเนินงาน, และการขยายธุรกิจ
แนวทางการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
- บริษัท Khulna City Corporation (KCC) ได้เสนอว่าควรมีการคัดแยกขยะตั้งแต่ก่อนจะถูกนำไปเก็บรวมกัน ทำให้โรงเพาะต้นไม้ต่างๆสามารถนำเฉพาะขยะที่เป็นออแกนิคไปทำปุ๋ย
- KCC และ องค์กรในเมืองต่างๆให้นำพื้นที่ตามชานเมืองที่ว่างเปล่าและยังไม่ได้ถูกใช้งาน มาทำเป็นโรงเพาะต้นไม้และโรงทำปุ๋ย
- องค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น KCC, มหาวิทยาลัยต่างๆ, และองค์กรด้านการวิจัยและพัฒนา ช่วยเหลือในด้านงานวิจัยต่างๆที่เกี่ยวกับการทำปุ๋ยออแกนิค, ปัญหาและแนวทางการแก้ไข, การควบคุมคุณภาพ, ประเด็นด้านการจัดการและความยั่งยืน
- หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตร จะต้องควบคุมและติดตามเฝ้าดูคุณภาพของปุ๋ยที่นำมาขายใน supermarket ต่างๆ
- องค์กรด้านการเงิน เช่น ธนาคาร ช่วยสนับสนุนด้านการเงินหรือกองทุนต่างๆ เพื่อให้เพียงพอต่อการเริ่มต้น, ดำเนินธุรกิจ, และขยายธุรกิจ ในด้านการทำโรงเพาะต้นไม้และการทำปุ๋ย
เป็นอีกหนึ่งกรณีตัวอย่าง ที่สามารถนำมาประยุคใช้ได้ในบ้านเรา ซึ่งอาจจะเริ่มจากโมเดลเล็กเป็นพื้นที่ ทดลอง แล้วค่อยขยายให้ใหญ่ขึ้น การจัดการปัญหาขยะด้วยวิถีแห่งเกษตรกร จึงเป็นทางออกที่ยั่งยืนได้ ประโยชน์ทั้งการแก้ปัญหาขยะของชุมชน ได้ประโยชน์ทั้งการลดใช้สารเคมีในภาคเกษตรอีกด้วย