เมื่อ “พลอยแกมเพชร” ประกาศปิดตัวลง หลังจากเดินทางมายาวนานกว่า 25 ปี
ตลอดระยะเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมา คนที่อยู่ในแวดวงสื่อสิ่งพิมพ์ คงอดใจหายไม่ได้กับการจากไปของนิตยสารและหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ไม่ว่าจะเป็น สกุลไทย อิมเมจ หรือแม้แต่หนังสือพิมพ์บ้านเมืองที่จะปิดตัวลงในวันใหม่ของปี 60 ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการบริโภคสื่อ คงไม่ต่างอะไรกับแม่น้ำที่เปลี่ยนสายและส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้ใช้แม่น้ำสายเดิม
(ข้อมูลจาก http://themomentum.co/)
การบรรยายในหัวข้อ “Public Communication และการสื่อสารเพื่อรองรับอุตสาหกรรม 4.0” โดย ดร. สุนทร คุณชัยมัง ประจำสำนักเลขาธิการนายกฯ เริ่มต้นขึ้นด้วยคำถามที่ว่า “การปิดตัวของสื่อสิ่งพิมพ์ในยุคปัจจุบัน ทุกท่านคิดว่าเกี่ยวข้องอะไรกับงานพีอาร์” ผู้ร่วมบรรยายส่วนใหญ่ให้คำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า เกี่ยวข้องเนื่องจากช่องทางการรับรู้ข้อมูลข่าวสารในยุคที่โทรศัพท์เข้ามาเป็นปัจจัยที่ 5 ในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้คนที่ทำงานพีอาร์ต้องมีการปรับตัวตามพฤติกรรมทางสังคมที่เปลี่ยนไป
ภายใต้บรรยากาศความซบเซาของ สิ่งพิมพ์และสื่อมวลชน (Mass Media) กลับกลายเป็นความคึกคักของแวดวงสำนักข่าวออนไลน์ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในแง่ของผู้ชมและคาดว่าในอนาคตโฆษณาเองจะเพิ่มมากขึ้น บทความเรื่อง “วงการข่าวกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างไร กับ 6 สำนักข่าวออนไลน์ไทยที่เราคิดว่าเจ๋ง”[1] ของ The Matter ได้อธิบายถึงบุคลิกและลักษณะเฉพาะตัวของสำนักข่าวออนไลน์ยุคใหม่ไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งก็มีหลายสำนักที่มีคนทำงานซึ่งไม่ได้มาจากแวดวงสื่อสารมวลชน มาถึงตรงนี้ผู้บรรยายได้ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเสพข่าวสารเหล่านี้ ทำให้ผู้บริโภคเป็นผู้ที่สามารถเลือกกำหนดข้อมูลข่าวสารได้ด้วยตนเอง โดยที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสื่อมวลชนและ TOR แล้ว ดังนั้นความสามารถของสื่อมวลชนหรือผลโพลต่างๆ ก็จะลดน้อยลง ในขณะที่ฝ่ายสื่อสารองค์กร อาศัยสื่อมวลชน (Mass Media) เป็นแม่น้ำสายหลักในการนำเสนอข่าวสาร เป็นเวลาเดียวกับที่ชาวบ้านอาศัยข้อมูลจากสื่อสาธารณะเป็นแม่น้ำหลัก ขณะที่สื่อมวลชน (Mass Media) กลายมาเป็นแม่น้ำสายรองในการบริโภคข้อมูล
นั่นหมายความว่า กระบวนการสื่อสารของฝ่ายสื่อสารองค์กรจะต้องสะดุดลง เนื่องจาก ช่องทางการสื่อสารที่เล็กลง และปริมาณการไหลของข้อมูลข่าวสารที่ไม่เท่ากัน ภายใต้แม่น้ำหลักที่เป็นสื่อสาธารณะ “องค์กร” ก็เป็นแค่เพียงสมาชิกหรือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อมูลที่มีการสนทนาเท่านั้น การแสดงออกทางสังคมและมวลชนจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่จำเป็นต้องมีแกนนำ โดยคำนึงถึงความชอบธรรมเป็นสำคัญ ส่งผลให้การลงโทษทางสังคมสร้างผลกดดันต่อเนื่องไปยังการลงโทษทางกฎหมายและธุรกิจ เพื่อรักษาปทัสถานทางสังคมไปพร้อมๆ กัน
เมื่อข้อมูลที่แสดงออกมาผ่าน สื่อมวลชน (Mass Media) ไม่สามารถบอกเล่าเรื่องราว อารมณ์ และความรู้สึกร่วมของคนในสังคมได้เท่ากับ สื่อสาธารณะ จึงเป็นการบ้านกองโตที่ฝ่ายสื่อสารองค์กรต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นการถอดรื้อประสบการณ์การทำงาน การการวิเคราะห์กระบวนการทางสังคมเพื่อพัฒนางานสื่อสารองค์กร ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายนักปฏิบัติการ ชุมชนออนไลน์ เพื่อขยับตัวให้เท่าทันกับการเข้าสู่ยุคเว็บไซต์ 4.0
ท้ายที่สุด ดร. สุนทร ได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ รูปแบบการทำงานของฝ่ายสื่อสารองค์กร โดยต้องเริ่มจากระดับผู้บริหารองค์กร จะต้องเข้าใจต่อ มิติการรับรู้ของสังคมที่เปลี่ยนไปจากเดิม จึงควรที่จะมีการจัดสัมมนาเรื่องของการสื่อสารและพัฒนาการของอินเตอร์เน็ตกับสังคมให้มากขึ้น ในส่วนของการสื่อสารผ่านสื่อมวลชน (Mass Media) ก็เป็นสิ่งที่ยังจำเป็นต้องดำเนินการต่อไป แม้ว่าความสำคัญส่วนนี้อาจจะลดลง ขณะเดียวกันก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีการสร้างกิจกรรมหรือการสัมมนาที่มาจากงานด้านสื่อสารองค์กร เช่นเดียวกับการขยายงานด้านงานวิจัยและการสร้างเครือข่ายสถาบันเพื่อพัฒนางานร่วมกัน โดยอาศัยแนวร่วมทั้งจาก ภาคเอกชน มหาวิทยาลัยและ NPOs ต่างๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนางานในด้าน โซเชี่ยล มีเดีย ให้เว็บไซต์เป็นช่องทางในการดึงคนเข้ามาดูข้อมูล การพัฒนาบุคลากรในด้านเว็บไซต์และงานโปรดักชั่นต่างๆ รวมไปถึงการเพิ่มพื้นที่สื่อสารผ่านยูทูป เพื่อใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นการเข้าดูข้อมูลให้เพิ่มมากขึ้น
เมื่อแม่น้ำสายเดิมไหลเปลี่ยนทิศ จนเกิดเป็นแม่น้ำสายใหม่ ก็คงไม่ต่างกับการไหลเวียนเปลี่ยนทิศของการสื่อสารเมื่อแม่น้ำสายเดิมไหลเปลี่ยนทิศ สิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าสื่อก็จำเป็นต้องปรับทิศทางของตัวเองให้ทัน